วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ความหมายเพลง La Marseillaise {เพลงชาติฝรั่งเศส}

   ความหมายเพลง La Marseillaise {เพลงชาติฝรั่งเศส}


La Marseillaise

-----------------

Allons enfants de la Patrie 
ตื่นเถิด ลูกหลานแห่งปิตุภูมิเอ๋ย 

Le jour de gloire est arrivé ! 
วันอันสว่างไสวมาถึงแล้ว 

Contre nous de la tyrannie 
เบื้องหน้าเรา เหล่าทรราช 

L'étendard sanglant est levé. (bis) 
ชักธงอาบเลือดขึ้นแล้ว 

Entendez-vous dans les campagnes 
พวกท่านได้ยินเสียงในท้องทุ่งหรือไม่ ? 

Mugir ces féroces soldats ? 
เสียงโห่ร้องของอ้ายทหารป่าเถื่อนนั่น 

Ils viennent jusque dans vos bras 
มันจะบุกเข้ามาจนประชิดตัว

Égorger vos fils, vos compagnes ! 
เพื่อบั่นศีรษะของลูกเมียที่อยู่ในอ้อมแขนท่าน ! 

Aux armes, citoyens ! 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย

Formez vos bataillons !
จัดกองทัพของพวกท่านไว้ ! 

Marchons, marchons ! 
หน้าเดิน, หน้าเดิน ! 

Qu'un sang impur จงยังให้เลือดชั่ว 
Abreuve nos sillons ! อาบนองรอยผลานไถของเรา ! 

Que veut cette horde d'esclaves, 
จะต้องการอะไรอีกเล่า เจ้าพวกทาส 

De traîtres, de rois conjurés ? 
แห่งคนทรยศและราชาผู้ลวงโลก ?

Pour qui ces ignobles entraves 
ห่วงโซ่อันเลวร้ายนี้มีไว้ให้ใครกัน 

Ces fers dès longtemps préparés ? (bis) 
คงเตรียมเหล็กพวกนี้ไว้มานานแล้วสิ ? (ซ้ำ)

Français, pour nous, ah! Quel outrage, 
ชาวฝรั่งเศสเอ๋ย มันเตรียมไว้กับเรานั่นแหละ อ้า! ช่างโหดร้ายนัก 

Quels transports il doit exciter ! 
มันน่าแค้นเสียเหลือเกิน ! 

C'est nous qu'on ose méditer 
เรานี้แหละคือผู้ที่มันบังอาจ 

De rendre à l'antique esclavage ! 
คิดกดหัวให้เรากลับเป็นทาสอีกครั้ง ! 

Aux armes, citoyens... 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย... 

Quoi! Des cohortes étrangères 
ชะ! กองทหารต่างชาติพวกนี้หรือ 

Feraient la loi dans nos foyers ! 
หมายจะตรากฎหมายของมันในแผ่นดินเรา ! 

Quoi! Ces phalanges mercenaires 
ชะ! อ้ายพวกทหารรับจ้างนี้นะหรือ 

Terrasseraient nos fiers guerriers ! (bis) 
หมายจะทำลายนักรบผู้ภาคภูมิของเรา ! (ซ้ำ) 

Grand Dieu! Par des mains enchaînées 
พระเป็นเจ้า! ด้วยสองมือที่ถูกล่ามไว้ 

Nos fronts sous le joug se ploieraient 
เราจำต้องก้มหน้าลงภายใต้แอก 

De vils despotes deviendraient 
เพราะผู้กดขี่สารเลวจะกลายเป็น 

Les maîtres de nos destinées ! 
ผู้ลิขิตชะตาชีวิตของพวกเรา ! 

Aux armes, citoyens... 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย... 

Tremblez, tyrans et vous perfides 
จงสั่นสะท้านเถิด ! เหล่าคนทรยศและทรราช 

L'opprobre de tous les partis 
สิ่งอันน่าอัปยศของมนุษย์ทั้งหลาย 

Tremblez! Vos projets parricides 
จงสั่นสะท้านเถิด ! แผนพิฆาตมาตุภูมิของแก 

Vont enfin recevoir leurs prix ! (bis) 
จะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม ! (ซ้ำ) 

Tout est soldat pour vous combattre 
เราทุกคนคือนักรบที่จะสู้กับแก 

S'ils tombent, nos jeunes héros, 
มาตรว่าวีรชนผู้เยาว์ของเราสูญชีพไป 

La terre en produit de nouveaux, 
แผ่นดินย่อมสร้างพวกเขาขึ้นใหม่ 

Contre vous tout prêts à se battre ! 
และพร้อมที่จะเข้าร่วมรบต่อต้านแกเสมอ ! 

Aux armes, citoyens... 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย... 

Français, en guerriers magnanimes, 
ชาวฝรั่งเศสเอ๋ย ในฐานะนักรบผู้สูงเกียรติ 

Portez ou retenez vos coups ! 
จงรู้จักทั้งใช้และยับยั้งอาวุธของท่าน ! 

Épargnez ces tristes victimes 
จงไว้ชีวิตเหยื่อผู้โศกาดูร 

À regret s'armant contre nous (bis) 
เพราะมิได้เต็มใจจะจับอาวุธต่อต้านพวกเรา (ซ้ำ) 

Mais ces despotes sanguinaires 
แต่ไม่ใช่กับพวกคนกดขี่กระหายเลือด 

Mais ces complices de Bouillé 
แต่ไม่ใช่กับพวกสมคบคิดกับนายพลบุยเย (Bouillé) 

Tous ces tigres qui, sans pitié, 
มันทั้งนั้นคือเสือร้ายไร้ปราณี 

Déchirent le sein de leur mère ! 
ที่ฉีกกระชากทรวงอกของแม่มันเอง ! 


Aux armes, citoyens... 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย... 

Amour sacré de la Patrie, 
ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ต่อแผ่นดินแม่เอ๋ย 

Conduis, soutiens nos bras vengeurs
จงนำทางและเกื้อหนุนหัตถ์แห่งการล้างแค้นของเรา 

Liberté, Liberté chérie,
เสรีภาพ เสรีภาพที่รักยิ่งเอ๋ย 

Combats avec tes défenseurs ! (bis)
จงมาสู้ร่วมกับผู้พิทักษ์ของเจ้าเถิด ! (ซ้ำ) 

Sous nos drapeaux que la victoire 
ภายใต้ร่มธงของเรานี้ ชัยชนะเอ๋ย 

Accoure à tes mâles accents, 
เจ้าจงมาเร็วไวดุจดังชายชาตรี 

Que tes ennemis expirants 
ขอให้ศัตรูของเจ้าผู้ใกล้ขาดใจตาย, 

Voient ton triomphe et notre gloire ! 
จงได้ประจํกษ์ความมีชัยของเจ้าและเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเรา ! 

Aux armes, citoyens... 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย... 

(Couplet des enfants) (บทประสานเสียงสำหรับเด็ก) 

Nous entrerons dans la carrière 
เราจะขอเข้าแบกรับภาระต่อ 

Quand nos aînés n'y seront plus 
ในยามที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายวอดวายสิ้น 

Nous y trouverons leur poussière 
เราจะขอแสวงหาซึ่งอัฐิธาตุ 

Et la trace de leurs vertus (bis) 
และตามรอยทางแห่งความดีงามของพวกเขาไว้ (ซ้ำ) 

Bien moins jaloux de leur survivre 
เรามิได้อิจฉาในการมีชีวิตอยู่รอด 

Que de partager leur cercueil, 
ยิ่งไปกว่าการได้ร่วมตายในโลงเดียวกัน 

Nous aurons le sublime orgueil 
พวกเราจะขอหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอันสูงส่ง 

De les venger ou de les suivre ! 
ในการล้างแค้น หรือการตามรอยพวกเขาสืบไป ! 


Aux armes, citoyens... 
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย... 

มารียาน สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพของฝรั่งเศส

มารียาน สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพของฝรั่งเศส


มารียานมีหน้าอกเปลือยเปล่าเพราะเธอกำลังให้อาหารผู้คน เธอไม่ได้ปกปิด เพราะเธอมีอิสระเสรี นั่นคือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส”




ประโยคนี้ของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสที่พูดต่อหน้าที่ประชุมพรรคสังคมนิยม กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก เพราะเป็นการเหยียดเพศ ศาสนา และที่สำคัญไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการก่อการร้ายภายในประเทศได้แต่อย่างใด กลับซ้ำให้เกิดความแตกแยกอีกด้วยซ้ำ
เรื่องของเรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวกับ “มารียาน” รูปเขียนที่เป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสเลยแม้แต่น้อย เพราะประเด็นที่ถกเถียงกันตอนแรกนั้นเกี่ยวกับ “เบอร์กินี” หรือชุดว่ายน้ำแบบคลุมทั้งตัวที่สาวชาวมุสลิมสวมไปอาบแดดที่ชายหาดกัน แต่โดนทางการที่ดูแลหาด 26 แห่งในฝรั่งเศสออกข้อห้ามไม่ให้พวกเธอสวมใส่ เพราะกลัวการก่อการร้าย




เรื่องก็ดูเหมือนจะลงเอยด้วยดี เพราะบางหาดก็ทยอยยกเลิกกฎข้อห้ามนี้แล้ว ด้วยมีแถลงจากศาลปกครองว่าคำสั่งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย
( ภาพวาดและรูปปั้น =เป็นส่วนหนึ่งในจินตนาการของศิลปิน( มารียาน )
งานนี้นายกมานูเอล วาลส์ น่าจะเสียรังวัดทางการเมืองไปเพียบ เพราะทั้งยูเอ็นก็
ออกมาต่อว่า นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสเองก็ออกมาจวกซะเละว่าไม่มีความรู้เรื่อง
ประวัติศาสตร์ สักแต่ว่าอยากจะพูดเปรียบเปรยไปเรื่อย
ซึ่งมาทิลเดอ ลาร์เฮแฮ นักประวัติศาสตร์ด้านพลเมืองและการปฏิวัติฝรั่งเศส
ทวิตข้อความถล่มนายกฯ ว่า “พูดโดยไม่รู้ประวัติศาสตร์อะไรเลย มารียานเป็น
“คตินิยาย” การเปลือยอกในภาพเป็นแค่สัญลักษณ์ทางศิลปะ วึ่งหยิบยืมมา
จากยุคโบราณ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับความเป็นหญิง และ “ยูจีน เดลาครัวซ์
“ จิตรกรผู้รังสรรค์ภาพนี้ขึ้นมาในปี ค.ศ.1830 นั้นก็เพื่อรำลึกถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส
และเพื่อสะท้อนถึง "เสรีภาพ" ไม่ใช่ "สาธารณรัฐ"
“มารียาน” นั้นเป็นสัญลักษณ์ถึง “ชัยชนะของสาธารณรัฐ” ที่มีต่อระบบกษัตริย์
แสดงถึงเสรีภาพและประชาธิปไตย และต่อต้านระบอบเผด็จการ


พระราชวังแวร์ซายมรดกโลกแห่งกรุงปารีส

    พระราชวังแวร์ซายมรดกโลกแห่งกรุงปารีส


                          


พระราชวังแห่งนี้ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส อยู่ห่างจากใจกลางเมืองปารีสประมาณ 17 กิโลเมตร ตัวอาคารทุกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนละเมียดสีขาว มีสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบบาโรค และรอคโคโค ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ผสานกับลวดลายอันอ่อนช้อยบรรจง



                            


ในส่วนของ The Palace หรือด้านในของพระราชวัง มีห้องมากมายถึง 700 ห้อง ไม่ว่าจะเป็น ห้องบรรทม, ห้องเสวย, ห้องสำราญ และห้องพำนักอื่นๆ จัดแสดงภาพวาด 6,123 ภาพ กับงานแกะสลักอีก 15,034 ชิ้น เรื่องน่าแปลกก็คือ มีการติดตั้งหน้าต่าง 2,153 บาน บันได 67 อัน และเตาผิงกว่า 1,315 เตา แต่กล้บไม่มีห้องน้ำสักห้องเดียว   


                            


   อีกจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ การประดับตกแต่งด้วย โคมไฟระย้า หรือ แชนเดอเรีย ในทุกๆ จุด หรูหราควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นพระราชวังที่งดงามล้ำค่าที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจริงๆ                             ห้องกระจก หรือ The Hall of Mirrors เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวัง และมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด ถูกก่อสร้างด้วยกระจกบานยักษ์ใหญ่เจียรไนสุดวิบวับทั้งหมด 17 บาน เมื่อเปิดออกมาจะพบเห็นมุมที่สวยที่สุดของสวนแวร์ซาย ได้ยินมาว่า พระเจ้าหลุยที่ 14 ทรงควบคุมการก่อสร้างเองทั้งหมด  สถาปัตยกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวความรักและความงามตามชื่อเทพนิยายวีนัส ตกแต่งด้วยรูปปั้นชุนทรงศึกอันภูมิฐาน แบบโรมัน จากหลักฐานทางประวัติระบุว่า ราชทูตของสมเด็จพระนารายณ์ ได้เข้ามาพักที่ห้องนี้ก่อนเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยที่ 14


                           


                         


อาณาบริเวณกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาของพระราชวังแวร์ซาย รายล้อมด้วยสวนสวยที่ตกแต่งให้มีลวดลายวกวนราวกับเขาวงกต ประดับประดาด้วยต้นไม้ สวนดอกไม้แบบเรขาคณิต มีประติมากรรมสัมฤทธิ์และหินอ่อนปั้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยายกรีกโรมัน โดดเด่นด้วย น้ำพุจากเทพนิยายกรีก Fountain of Latona  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยิ่งทำให้รอบพื้นที่ดูขลัง ทรงพลัง ดึงดูดเราให้เข้าไปอยู่ในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้อย่างไม่ยาก แต่รู้หรือไม่คะว่า? ความงามของที่แห่งนี้เคยเป็นต้นเหตุของสงครามกลางเมือง นำมาสู่การปฎิวัติฝรั่งเศสในเวลาต่อมา  
พระตำหนักเล็กๆ ของพระนางพระนางมารี อองตัวเนต และสวนดอกไม้ส่วนตัว ท่ามกลางหมู่บ้านชนบทที่เงียบสงบ ซึ่งพระนางทรงโปรดที่จะมาพักผ่อนคลายเครียด และใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบคนธรรมดาทั่วไป

เยี่ยมพิพิธภัณฑ์น้ำหอมของแบรนด์เก่าแก่อย่าง Fragonard

                                       หอมกลิ่นปารีส
 



เยี่ยมพิพิธภัณฑ์น้ำหอมของแบรนด์เก่าแก่อย่าง Fragonard



Fragonard






Fragonard



เริ่มทำความรู้จักบทเรียนกลิ่น 101 ที่พิพิธภัณฑ์น้ำหอมเล็กๆ ใจกลางปารีส Fragonard เป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมเก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศส กำเนิดจาก Grasse เมืองหลวงแห่งน้ำหอมที่อยู่ทางใต้ของประเทศ โดย Eugène Fuchs ตั้งชื่อแบรนด์โดยเอานามสกุลของจิตรกรชื่อดังสมัยศตวรรษที่18 เป็นที่ตั้ง
ปัจจุบันแบรนด์น้ำหอมนี้ยังเป็นธุรกิจครอบครัวเดิม แม้จะมีร้านสาขามากมาย แต่ฉันอยากชวนให้มา Musée du Parfum Fragonard มากที่สุด เพราะที่นี่มีไกด์พาผู้ชมไปทำความรู้จักโลกแห่งกลิ่นและการสกัดน้ำหอม ตบท้ายด้วยห้องแห่งการช้อปที่เราจะได้ลองดมกลิ่นและทายดอกไม้ที่เป็นส่วนผสม ที่สำคัญพิพิธภัณฑ์นี้เข้าฟรี ภายใน 1 ชั่วโมง เราได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินกับจมูกไปเต็มๆ





Fragonard (ฟราโกนาร์ด) เป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมที่เก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศส มีต้นกำเนิดที่เมืองกราสส์ มีอายุเกือบ 100 ปี และปัจจุบันยังเป็นกิจการของครอบครัวที่ก่อตั้ง น้ำหอมและเครื่องประทินผิวของฟราโกนาร์ดมีชื่อเสียงในหมู่คนเล่นเครื่องหอม แต่หาซื้อไม่ได้ง่ายๆ นอกประเทศ การทำมิวเซียมดีๆ ฟรีให้คนทั่วไปเข้าชมข้างร้านสาขาปารีสเป็นวิธีที่ทำให้แบรนด์มีคุณค่า น่ารู้จักและน่าช้อปขึ้นมาเป็นกอง
นิทรรศการฟรีที่นี่เล่าเรื่องกลิ่นอย่างสวยและสนุก โดยไกด์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำหอมพาผู้ชมเดินเป็นกลุ่มๆ แบ่งเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังมีเยาวชนมาทัศนศึกษา และคนฝรั่งเศสที่สนใจเรื่องกลิ่นมาเยี่ยมที่นี่อยู่เนืองๆ
แค่ตัวสถานที่ก็น่าตื่นเต้นแล้ว ก่อนเข้าไปชมกระบวนการทำน้ำหอม มัคคุเทศก์สาวเล่าว่า ตึกส่วนใหญ่ในปารีสเป็นตึกเก่า อาคารนี้เคยเป็นโรงละคร ที่สอนขี่จักรยาน ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่เปิดมานานร้อยกว่าปี ก่อนจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์น้ำหอมในท้ายที่สุด โครงสร้างที่นี่จึงมีร่องรอยของหลายยุคสมัยปะติดปะต่อกัน    ภายในมิวเซียมจัดแสดงตู้วัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับผลิตน้ำหอมตั้งแต่ยุคโบราณ เช่น โหลแก้ว ถ้วยตวงเก่า อำพันทะเล (อ้วกปลาวาฬ) ชะมดเช็ด ไปจนถึงดอกไม้ต้นไม้สร้างกลิ่นหอมนำเข้าจากประเทศต่างๆ และยังจัดแสดงวิธีการผลิตน้ำหอมแบบศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่เก็บดอกไม้ ไปจนถึงการกลั่นวัตถุดิบในหม้อใหญ่เพื่อทำหัวน้ำหอม



ต่อจากการดมก็เป็นการดู มิวเซียมนี้จัดแสดงขวดน้ำหอมและอุปกรณ์ใส่ของหอมจำนวนมาก เพราะ Jean-François Costa พ่อของสามสาวพี่น้องผู้บริหาร Fragonard รุ่นปัจจุบันเป็นนักสะสมตัวยง ฉันเลยได้เห็นแจกันเมโสโปเตเมีย เซรามิกกรีก ตลับขี้ผึ้งสำหรับห้อยเข็มขัด จี้ห้อยคอและแหวนใส่น้ำหอม พร้อมกับขวดทรงพิสดารอีกมากมาย ใครจะรู้ว่าดีไซน์ขวดน้ำหอมนี่เปรี้ยวมาตั้งแต่พันปีที่แล้ว แถมที่นี่ยังจัดแสดงกล่องบรรจุภัณฑ์ที่แสดงยี่ห้อแบรนด์ต่างๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 กราฟิกโบราณนี่ก็สวยงามใช่ย่อย อาจเพราะน้ำหอมเป็นสินค้ารุ่มรวยรื่นรมย์ การออกแบบที่เกี่ยวข้องจึงต้องเจริญตาเจริญใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรับรู้ทางจมูก ไม่น่าแปลกใจที่รูปลักษณ์สวยๆ เหล่านี้เพิ่มมูลค่าให้น้ำหอมราคาแพงขึ้นด้วย

จบเรื่องประวัติศาสตร์น้ำหอมก็เข้าสู่เรื่องแบรนด์ฟราโกนาร์ด ชื่อนี้ไม่ใช่นามสกุลตระกูลผู้ก่อตั้ง แต่เป็นนามสกุลของจิตรกรชื่อดังในยุคศตวรรษที่ 18 Jean-Honoré Fragonard ซึ่งเป็นชาวเมืองกราสส์ Eugène Fuchs ผู้ก่อตั้งเลือกใช้ชื่อของเขาเพื่อสื่อถึงการอุทิศให้กับเมืองกราสส์และศาสตร์การปรุงน้ำหอมแบบดั้งเดิม เอกลักษณ์ของแบรนด์คือขวดสีทองเรียบง่าย ในห้องนี้จะมี blind test กลิ่นให้เราดมและทายต้นตอกลิ่นหอมกันให้สนุก
ไกด์สาวเล่าว่า ถ้าอยากเรียนเวิร์กช็อปทำน้ำหอมอย่างจริงจัง พิพิธภัณฑ์นี้เปิดสอนทำโคโลญจน์สัปดาห์ละครั้งทุกวันเสาร์ โดยนักเรียนจะได้เลืิอกผสมกลิ่นด้วยตัวเองด้วยนะ






วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2562

สนธิสัญญาไซเตส

CITES คืออะไร

ข่าวเศรษฐกิจ -- พฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2544 17:11:29 น.
CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) คือ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชพรรณจากป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เพื่อปกป้องและคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชพรรณป่าจากการใช้ประโยชน์เพื่อการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นมากจนอาจทำให้สัตว์และพืชบางชนิดสูญพันธุ์ได้ ปัจจุบันมีประเทศที่เป็นสมาชิกอนุสัญญา CITES ทั้งสิ้น 152 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเข้าเป็นประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญา CITES เมื่อปี พ.ศ. 2526

ภายใต้อนุสัญญา CITES ประเทศสมาชิกต้องจัดให้มีบทบัญญัติทางกฎหมายที่ใช้บังคับตามข้อกำหนดของอนุสัญญา โดยการห้ามทำการค้าพันธุ์พืชและสัตว์ที่เป็นการละเมิดอนุสัญญา CITES และมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอนุสัญญา CITES จะประชุมกันในทุก 2 ปี เพื่อทบทวนการนำข้อบังคับของ CITES ไปใช้ ตลอดจนเพื่อทบทวนความเหมาะสมของบัญชีสัตว์และพืชที่อยู่ในอนุสัญญาด้วย

สำหรับบัญชีพืชและสัตว์ตามข้อกำหนดของอนุสัญญา CITES (Appendix) สามารถจำแนกตามความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ดังนี้ Appendix I เป็นบัญชีสัตว์ป่าหรือพืชพรรณป่าที่ใกล้สูญพันธุ์และอาจสูญพันธุ์ได้หากยังนำมาค้าขายกันอยู่ เช่น กล้วยไม้รองเท้านารี กล้วยไม้เอื้องปากนกแก้ว เป็นต้น การค้าสัตว์หรือพืชที่ใกล้สูญพันธุ์มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากจนอาจเรียกได้ว่าเป็นบัญชีสัตว์หรือพืชที่ห้ามทำการค้าขายกันโดยปริยาย เว้นแต่เป็นการขยายพันธุ์หรือ เพาะพันธุ์เพื่อการศึกษาและวิจัยเท่านั้น

Appendix II เป็นบัญชีสัตว์ป่าหรือพืชพรรณป่าที่เหลือค่อนข้างน้อยแต่ยังไม่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ต้นปรง ต้นพญาไร้ใบ ต้นกฤษณา เป็นต้น สัตว์หรือพืชในบัญชีนี้ได้รับอนุญาตให้มีการค้าขายได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการควบคุมที่เข้มงวด อาจสูญพันธุ์ได้ในที่สุด

Appendix III เป็นบัญชีสัตว์ป่าหรือพืชพรรณป่าที่ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศเห็นว่ามีความจำเป็นต้องให้ความคุ้มครอง จึงขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกอื่นให้ช่วยควบคุมการค้าพืชหรือสัตว์พันธุ์นั้นๆ ด้วย เช่น การควบคุมการค้ามะเมื่อยจากประเทศเนปาล การควบคุมการค้านกขุนทองจากประเทศไทย เป็นต้น

ในการเสนอพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์บรรจุเข้าในบัญชีตามอนุสัญญา CITES นั้น พืชหรือสัตว์พันธุ์ที่เสนอนั้นต้องยังมีการซื้อขายระหว่างประเทศ และประเทศที่มีพืชหรือสัตว์พันธุ์นั้นอยู่ต้องการให้ประเทศภาคีช่วยควบคุมดูแลมิให้มีการทำการค้าพืชหรือสัตว์พันธุ์นั้นมากจนเกินไป นอกจากนี้ การย้ายรายชื่อพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ข้ามบัญชีหรือการถอดถอนรายชื่อออกจากบัญชีสามารถทำได้ในกรณีที่จำนวนประชากรพืชหรือสัตว์นั้น มีมากพอที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากอนุสัญญา CITES อีกต่อไป

ในกรณีของประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งสัตว์ป่าและพืชพรรณป่าหายากเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็มีการค้าพันธุ์พืชป่าและสัตว์ป่าหายากเป็นจำนวนมากทั้งในประเทศและนอกประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งให้ความคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชพรรณป่าที่ใกล้สูญพันธุ์เหล่านั้นอย่างจริงจัง โดยมีแนวทางดังนี้

1. วางกฎเกณฑ์ปฏิบัติอย่างชัดเจนสำหรับการห้ามค้าพืชและสัตว์ภายใต้อนุสัญญา CITES เพื่อให้การคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชพรรณป่าได้ผลอย่างจริงจัง
2. กำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำผิดอย่างสมเหตุสมผลมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากบทลงโทษด้วยการเปรียบเทียบปรับในปัจจุบันมีมูลค่าต่ำมากเมื่อเทียบกับมูลค่าสินค้าที่ลักลอบซื้อขายกัน

3. พัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรในการจำแนกพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้การตรวจสอบเพื่อจับกุมหรือการอนุญาตให้ค้าพันธุ์พืชและสัตว์เป็นไปได้อย่างราบรื่น

4. ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปและผู้เกี่ยวข้องทราบถึงความสำคัญของทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชพรรณจากป่า เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากพืชและสัตว์ป่าอย่างยั่งยืนและได้รับประโยชน์จากอนุสัญญา CITES อย่างเต็มที่

อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/ryt9/251162

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาRio(รีโอเดจาเนโร)

เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1947 สหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในละตินอเมริกา ยกเว้นประเทศนิคารากัวและอีเควดอร์ ได้ตกลงทำสนธิสัญญาระหว่างรัฐในอเมริกาด้วยกัน ณ กรุงริโอเดจาเนโร เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า สนธิสัญญาริโอ ประเทศเหล่านั้นต่างมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือกันอย่างมีประสิทธิผล ถ้าหากรัฐในอเมริกาหนึ่งใดถูกโจมตีด้วยกำลังอาวุธหรือถูกคุกคามจาการรุกรานต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1948 ได้มีการจัดตั้งองค์การของรัฐอเมริกัน (Organization of American States) ขึ้น ณ กรุงโบโกตา ประเทศโบลิเวีย ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ ในอเมริการวม 21 ประเทศ ยกเว้นประเทศแคนาดา เพื่อดำเนินการให้เป็นผลตามสนธิสัญญาริโอ และจัดวางระบบการรักษาความมั่นคงร่วมกันขึ้น กฎบัตร (Charter) ขององค์การได้มีผลบังคับให้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1951องค์การโอเอเอสนี้ เป็นองค์การส่วนภูมิภาคแห่งหนึ่ง ภายในกรอบของสหประชาชาติ ประเทศสมาชิกต่างปฏิญาณร่วมกันที่จะทำการธำรงรักษากระชับสันติภาพ ตลอดจนความมั่นคงในทวีปอเมริกา เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุแห่งความยุ่งยากใด ๆ และต้องการระงับกรณีพิพาทที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันโดยสันติวิธี อนึ่ง ถ้าหากมีการรุกรานเกิดขึ้นก็จะมีการปฏิบัติการร่วมกัน นอกจากนี้ ยังจะหาทางระงับปัญญาหาทางการเมือง ทางการศาล และทางเศรษฐกิจ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมทั้งจะพยายามร่วมกัน ในการหาหนทางส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม สำนักงานใหญ่ขององค์การโอเอเอสตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตันดีซี นครหลวงของสหรัฐอเมริกา

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาโรมคือ?

                              สนธิสัญญาโรม                                           มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009

ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป

สนธิสัญญาโตเกียว

                            อนุสัญญาโตเกียว                                     (อังกฤษ: Tokyo Convention, อนุสัญญาสันติภาพโตเกียว หรือ สนธิสัญญาโตกิโอ[1], เนื่องจากแต่ก่อนคนไทยเรียกกรุงโตเกียวว่ากรุงโตกิโอ) เป็นอนุสัญญาสืบเนื่องมาจากกรณีพิพาทอินโดจีนในปี พ.ศ. 2484 ขณะที่การรบยังไม่สิ้นสุดนั้น ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งประเทศไทยและฝรั่งเศสได้ตกลง และหยุดยิงในว้นที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 ก่อนจะมีการเจรจากันในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2484[1] ณ กรุงโตเกียว โดยมีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ           พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียวในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม[2]

จากอนุสัญญานี้ทำให้ไทยได้ ดินแดนฝั่งขวาของหลวงพระบาง, จำปาศักดิ์, ศรีโสภณ, พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชา คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดพิบูลสงคราม, จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง[2]

สนธิสัญญาปารีส

                                สนธิสัญญาปารีส


สนธิสัญญาปารีส อาจหมายถึง ความตกลงหลายฉบับที่เจรจาและลงนามกันในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้นว่า

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1229), ระหว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสและเรมงด์ที่ 7 เคานท์แห่งตูลูส เพื่อยุติสงครามครูเสดอัลบิเจ็นเซียน

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1259), ระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 10 แห่งฝรั่งเศส และ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษ, เฮนรีสละสิทธิในนอร์ม็องดี

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1303), ระหว่างพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1323), หลุยส์ที่ 1 เคานท์แห่งฟลานเดอร์สสละการอ้างสิทธิในเซแลนด์

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1355), การแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสกับซาวอย

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1623), ระหว่าง ฝรั่งเศส, ซาวอย และ เวนิส เพื่อทำการฟื้นฟูดินแดนวาลเทลลินา โดยการพยายามกำจัดกองทหารสเปนที่ตั้งมั่นอยู่ที่นั่น

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1657), ระหว่าง อังกฤษ และ ฝรั่งเศส เพื่อการเป็นพันธมิตรในการต่อต้านสเปน

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1763), ระหว่าง ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ฝรั่งเศส และ สเปนกับโปรตุเกส เพื่อยุติสงครามเจ็ดปี

สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1783) ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศส, สเปน, สาธารณรัฐดัตช์ และ สหรัฐอเมริกา

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783), ระหว่างสหรัฐอเมริกาและราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ เพื่อยุติสงครามปฏิวัติอเมริกัน

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1784) เพื่อยุติสงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่ 4

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1796), เพื่อยุติสงครามระหว่างฝรั่งเศสและราชอาณาจักรพีดมอนท์-ซาร์ดิเนีย

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1810), ระหว่างฝรั่งเศสและสวีเดน เพื่อการยุติสงครามฟินแลนด์

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1814) หรือ สนธิสัญญาฟงแตงโบล (ค.ศ. 1814), ระหว่าง: จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และ ฝ่ายมหาสัมพันธมิตร เพื่อยุติอำนาจการปกครองของนโปเลียนและส่งพระองค์ไปประทับที่เกาะเอลบา

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1814), ลงนามเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1814ระหว่าง: ฝรั่งเศสและพันธมิตรในสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่ 6 เพื่อการยุติสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่ 6

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1815), ลงนามหลังจากการพ่ายแพ้ของนโปเลียนที่วอเตอร์ลู

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1856), รัสเซียและพันธมิตรของจักรวรรดิออตโตมัน, ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย, ฝรั่งเศส และ สหราชอาณาจักร เพื่อยุติสงครามไครเมีย

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1857), เพื่อยุติสงครามอังกฤษ-เปอร์เซีย

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1898), เพื่อยุติสงครามสเปน-อเมริกา

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1900), ระหว่าง จักรวรรดิฝรั่งเศส และ จักรวรรดิฝรั่งเศส เพื่อยุติข้อพิพาทในสิทธิริโอ มูนิ (อิเควทอเรียลกินี)
การประชุมสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1919), เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1920), ฝ่ายมหาอำนาจ (ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, อิตาลี และ ญี่ปุ่น) และโรมาเนีย เพื่อรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย

สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1947) เพื่อการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการ

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1951), เพื่อก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรปที่เป็นพื้นฐานของการก่อตั้งสหภาพยุโรปต่อมา

ข้อตกลงสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1973), เพื่อยุติความเกี่ยวข้องของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

COP24

                                       COP24


        COP24 ที่โปแลนด์เริ่มแล้ว นานาชาติประชุมใหญ่ลดโลก.      ร้อน จับตากฎกติกาใหม่สนับสนุนข้อตกลงปารีส

         COP24-โอกาสเพื่อแปรข้อตกลงปารีส                                    ให้เป็นรูปธรรม5 ธันวาคม
 3ปีผ่านไปหลังจากที่โลกได้บรรลุข้อตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ทั้งสหประชาชาติและประชาคมโลกต่างต้องประสบอุปสรรคมากมายเพื่อแปรคำมั่นต่างๆในเอกสารแห่งประวัติศาสตร์นี้ให้เป็นรูปธรรม ดังนั้นการประชุมว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติหรือCOP24ที่กำลังมีขึ้น ณ ประเทศโปแลนด์ถูกคาดหวังว่านี่เป็นโอกาสที่ยากจะหาได้เพื่อให้สหประชาชาติและประเทศต่างๆร่วมเสร็จสิ้นการร่างระเบียบการที่เป็นมาตรฐานแนะนำการปฏิบัติข้อตกลงปารีสอย่างสมบูรณ์ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยง่าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สหประชาชาติเตือนว่า ประเทศต่างๆกำลังเดินผิดทิศทางในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติเชิดชูบทบาทของผู้นำประเทศต่างๆในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ฟอรั่มฮานอยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปี 2018
 COP24-โอกาสเพื่อแปรข้อตกลงปารีสให้เป็นรูปธรรม  1ปัญหาโลกร้อนได้ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่นับวันรุนแรงมากขึ้น
เกือบ200ประเทศที่เป็นภาคีในข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศปี2015มีเวลา2สัปดาห์(ตั้งแต่วันที่2-14ธันวาคม) ณ ประเทศโปแลนด์เพื่อร่วมหารือเสร็จสิ้นการร่างระเบียบการที่เป็นมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติเพื่อควบคุมการเพิ่มอุณหภูมิของโลกให้ต่ำกว่า2องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมและธำรงความพยายามจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิ1.5องศาเซลเซียส แต่สถานการณ์ของสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่ามาตรการรับมือของมนุษย์

COP24 โอกาสที่หายาก

การประชุมสุดยอด COP24 เป็นหนึ่งในสองการประชุมสำคัญนัดสุดท้ายก่อนที่จะถึงปี2020ที่ข้อตกลงปารีสจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่จนถึงขณะนี้ประเทศต่างๆก็ยังไม่มีท่าทีที่เป็นรูปธรรมอะไรมากนักเพื่อป้องกันผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากสภาวการณ์ที่สภาพภูมิอากาศที่แปรปวนในทั่วโลกนับวันรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ป่าที่รุนแรงในหลายพื้นที่ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สภาพอากาศร้อนจัดด้วยอุณหภูมิสูงกว่า40องศา.พร้อมภัยแล้งในระยะยาวในหลายประเทศได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของมนุษย์และการผลิตเกษตร เหตุแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิและพายุที่นับวันมีความรุนแรงมากขึ้นตลอดจนปัญหาระดับน้ำทะเลหนุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งนี้สาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาดังกล่าวคืออุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ โดยตามการพยากรณ์ขององค์การอุตุนิยมและสิ่งแวดล้อมโลกนั้น อุณหภูมิของโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจจะเพิ่มตั้งแต่3-5องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ซึ่งสูงเกินเป้าหมายที่ต้องการจำกัดให้อยู่ในกรอบ1.5-2องศาที่ระบุในข้อตกลงปารีส  และจนถึงปี2030 ปริมาณการปล่อยก๊าซที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นก็อาจจะสูงกว่า1หมื่น3พันตัน-1หมื่น5พันตันเมื่อเทียบกับอัตราที่ต้องจำกัด หมายความว่า โลกจะต้องพยายามมากกว่า3เท่าหรือ5เท่านับตั้งแต่นี้จนถึงปี2030เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายในข้อตกลงปารีส

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประวัติหอไอเฟล

                             ประวัติหอไอเฟล


ลา ตูค์ อิฟเฟล


“ลา ตูค์ อิฟเฟล” (La Tour Eiffel) ในภาษาฝรั่งเศส หรือ หอไอเฟล ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ใครที่มาเที่ยวปารีสเป็นต้องไม่พลาดการถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล
เรามาทำความรู้จักกับหอไอเฟลกันนิดนึง หอไอเฟลเป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนน ชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอคอยแห่งนี้เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ“กุสตาฟ ไอเฟล” เป็นวิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เป็นปรมาจารย์ในด้านการก่อสร้างด้วยเหล็กและมีความสามารถในการสร้างสะพาน เป็นต้นว่า สะพานข้ามแม่น้ำดูโร (Douro) ในตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสะพานที่มีช่วงกว้างที่สุดในเวลานั้น ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นงานศิลปะชิ้นเอกในงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1890 เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 100 ปี แห่งการปฏิวัติประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวย และความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมของประเทศ


ภาพวิวัฒนาการการก่อสร้างหอไอเฟล
ในสมัยนั้น หอไอเฟลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากมีการออกแบบการก่อสร้างที่มีความผิดแผกแตกต่างจากการสิ่งก่อสร้างในอดีต ไม่เข้ากับอาคารบ้านเรือนและโบสถ์เก่าแก่ในเมือง ดูแล้วไร้ซึ่งความเป็นศิลปะ และทำลายทัศนียภาพของกรุงปารีส ถึงกับถูกศิลปินแขนงต่างๆ ประณามว่า “หอไอเฟลคือความอัปลักษณ์บนใบหน้าของปารีส” เลยทีเดียว แต่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและยาวนาน ชาวบ้านก็ชื่นชอบหอไอเฟลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดออกมาโห่ร้องให้กำลังใจ ตอนที่กุฟตาฟ ไอเฟล เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อนำธงชาติฝรั่งเศสไปประดับไว้บนยอดสูงสุดของหอคอย (และแน่นอนว่าเขาเป็นคนแรกที่เดินขึ้นไป!) จากตอนแรกที่รัฐบาลตั้งใจว่าจะจัดแสดงศิลปะเอกชินนี้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น แบบว่าจบงานแล้วก็รื้อทิ้ง กลายเป็นว่าสุดท้ายทางการสื่อสารมวลชนของประเทศก็ตัดสินใจให้เก็บหอไอเฟลไว้ใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณวิทยุ ต่อมามีการสร้างศูนย์วิทยุขึ้นอย่างถาวร และยังคงใช้มาถึงปัจจุบันนี้ ในที่สุดงานศิลปะชั่วคราวก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกเป็นเวลากว่า 40 ปี (ค.ศ. 1889-1930) และเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก!
แปลก และ แหวกแนว สโลแกนของเขาล่ะ ขอแทรกความคิดสักนิดว่ากว่าจะเป็นหอไอเฟลอันโด่งดังในวันนี้ได้ นายกุสตาฟต้องฝ่าฟันคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมาย จึงขอให้กำลังใจคนที่กำลังคิดการณ์ไกลสักหน่อย
“คนที่เริ่มสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ จึงไม่ควรท้อใจถ้าหากถูกทักว่าไม่เข้าท่า…หรือเป็นไปไม่ได้…”  — ว.วชิรเมธี

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สัญญาลักษณ์ฝรั่งเศส

             

                          ลา มารีอานน์ (la Marianne)
   

                          สัญลักษณ์รูปผู้หญิงครึ่งตัวบนสวมหมวกฟรีเจียน (le bonnet phrygien) 
ความเป็นมาไม่เป็นที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ชื่อ Marie และ Anne เป็นชื่อที่แพร่หลายมากในศตวรรษที่ 18 
ซึ่งอยู่ในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส Marie-Anne จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของคณะก่อการปฏิวัติ 
ต่อมาได้กลายเป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกสาธารณรัฐฝรั่งเศส ปัจจุบันนี้ la Marianne เ ป็นเครื่องหมายประจำที่ทำการเทศบาล
ทุกแห่งในฝรั่งเศส เป็นรูปที่ประดับบนดวงตราไปรษณียากร และ บนเหรียญยูโรของฝรั่งเศส 


              

                                     ไก่ตัวผู้ (le coq gaulois) 

                         
 
รูปไก่ตัวผู้ปรากฏบนเหรียญกษาปณ์ของชาวโกลัว (les Gaulois) 
ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศส ในขณะที่ยังเรียกว่า ลา โกล (la Gaule) และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ 



วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สถาปัตยกรรม

                                  สถาปัตยกรรม
    
               คือ การออกแบบก่อสร้างสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างสำหรับการอยู่อาศัยของคนทั่วไป เช่น บ้าน อาคาร และคอนโด เป็นต้น และสิ่งก่อสร้างที่คนไม่สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ เช่น เจดีย์ สถูปและอนุสาวรีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการกำหนดผังของบริเวณต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดความสวยงาม และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการใช้สอยได้ตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมนั้นนับเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะทางการภายแทบทุกชนิด โดยมักจะมีรูปแบบที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมและช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างชัดเจนโดดเด่น สามารถแบ่งลักษณะงานทางด้านสถาปัตยกรรมได้เป็น 3 แขนงดังนี้
   
                 
  1. สถาปัตยกรรมการออกแบบสิ่งก่อสร้าง เช่น ออกแบบการสร้างตึก อาคารและบ้านเรือน เป็นต้น
  2. ภูมิสถาปัตย์ เช่น การออกแบบเพื่อวางผังสำหรับจัดบริเวณ วางผังเพื่อการปลูกต้นไม้และการจัดสวน เป็นต้น
  3. สถาปัตยกรรมผังเมือง ซึ่งได้แก่ การออกแบบบริเวณของผังเมืองเพื่อก่อให้เกิดความเป็นระเบียบงดงาม สะอาด รวดเร็วในการติดต่อ และยังถูกหลักสุขาภิบาล ซึ่งสามารถเรียกผู้สร้างงานสถาปัตยกรรมนี้ได้ว่า สถาปนิก.                                                                                                                                                          องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม.                                                                                                                                                 องค์ประกอบงานทางสถาปัตยกรรม หมายถึง อาคารหรือกลุ่มอาคาร และส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน โดยนำมาประกอบขึ้นจนกลายเป็นงาน.                                                                                                                                                                          คุณสมบัติของนักออกแบบ                              ในการเป็นนักออกแบบที่ดี จะต้องมีความสามารถ และมีลักษณะนิสัยที่ช่วยให้การออกแบบมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย คุณสมบัติของนักออกแบบมีหลายประการ ซึ่งพอจะจำแนกออกได้ดังนี้
    1. เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
               นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยของนักออกแบบ  ความคิดสร้างสรรค์ถ้าอันตัวคุณนั้นขาดสมองและความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่เคยสร้าง ไม่เคยคิด หรือเอาแต่ลอก copy ดัดแปลงของคนอื่นเค้าโดยไม่ใช้เวลาในการคิดสิ่งใหม่ๆ ซะบ้าง คุณก็ไม่สามารถเรียกหรืองว่าให้คนอื่นเรียกคุณว่านักออกแบบได้เลยครับ เพระว่า นักออกแบบ ต้องเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเสมอ