วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561
สนธิสัญญาRio(รีโอเดจาเนโร)
เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1947 สหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในละตินอเมริกา ยกเว้นประเทศนิคารากัวและอีเควดอร์ ได้ตกลงทำสนธิสัญญาระหว่างรัฐในอเมริกาด้วยกัน ณ กรุงริโอเดจาเนโร เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า สนธิสัญญาริโอ ประเทศเหล่านั้นต่างมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือกันอย่างมีประสิทธิผล ถ้าหากรัฐในอเมริกาหนึ่งใดถูกโจมตีด้วยกำลังอาวุธหรือถูกคุกคามจาการรุกรานต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1948 ได้มีการจัดตั้งองค์การของรัฐอเมริกัน (Organization of American States) ขึ้น ณ กรุงโบโกตา ประเทศโบลิเวีย ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ ในอเมริการวม 21 ประเทศ ยกเว้นประเทศแคนาดา เพื่อดำเนินการให้เป็นผลตามสนธิสัญญาริโอ และจัดวางระบบการรักษาความมั่นคงร่วมกันขึ้น กฎบัตร (Charter) ขององค์การได้มีผลบังคับให้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1951องค์การโอเอเอสนี้ เป็นองค์การส่วนภูมิภาคแห่งหนึ่ง ภายในกรอบของสหประชาชาติ ประเทศสมาชิกต่างปฏิญาณร่วมกันที่จะทำการธำรงรักษากระชับสันติภาพ ตลอดจนความมั่นคงในทวีปอเมริกา เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุแห่งความยุ่งยากใด ๆ และต้องการระงับกรณีพิพาทที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันโดยสันติวิธี อนึ่ง ถ้าหากมีการรุกรานเกิดขึ้นก็จะมีการปฏิบัติการร่วมกัน นอกจากนี้ ยังจะหาทางระงับปัญญาหาทางการเมือง ทางการศาล และทางเศรษฐกิจ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมทั้งจะพยายามร่วมกัน ในการหาหนทางส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม สำนักงานใหญ่ขององค์การโอเอเอสตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตันดีซี นครหลวงของสหรัฐอเมริกา
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561
สนธิสัญญาโรมคือ?
สนธิสัญญาโรม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009
ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป
ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป
สนธิสัญญาโตเกียว
อนุสัญญาโตเกียว (อังกฤษ: Tokyo Convention, อนุสัญญาสันติภาพโตเกียว หรือ สนธิสัญญาโตกิโอ[1], เนื่องจากแต่ก่อนคนไทยเรียกกรุงโตเกียวว่ากรุงโตกิโอ) เป็นอนุสัญญาสืบเนื่องมาจากกรณีพิพาทอินโดจีนในปี พ.ศ. 2484 ขณะที่การรบยังไม่สิ้นสุดนั้น ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งประเทศไทยและฝรั่งเศสได้ตกลง และหยุดยิงในว้นที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 ก่อนจะมีการเจรจากันในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2484[1] ณ กรุงโตเกียว โดยมีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียวในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม[2]
จากอนุสัญญานี้ทำให้ไทยได้ ดินแดนฝั่งขวาของหลวงพระบาง, จำปาศักดิ์, ศรีโสภณ, พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชา คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดพิบูลสงคราม, จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง[2]
จากอนุสัญญานี้ทำให้ไทยได้ ดินแดนฝั่งขวาของหลวงพระบาง, จำปาศักดิ์, ศรีโสภณ, พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชา คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดพิบูลสงคราม, จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง[2]
สนธิสัญญาปารีส
สนธิสัญญาปารีส
สนธิสัญญาปารีส อาจหมายถึง ความตกลงหลายฉบับที่เจรจาและลงนามกันในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้นว่า
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1229), ระหว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสและเรมงด์ที่ 7 เคานท์แห่งตูลูส เพื่อยุติสงครามครูเสดอัลบิเจ็นเซียน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1259), ระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 10 แห่งฝรั่งเศส และ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษ, เฮนรีสละสิทธิในนอร์ม็องดี
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1303), ระหว่างพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1323), หลุยส์ที่ 1 เคานท์แห่งฟลานเดอร์สสละการอ้างสิทธิในเซแลนด์
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1355), การแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสกับซาวอย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1623), ระหว่าง ฝรั่งเศส, ซาวอย และ เวนิส เพื่อทำการฟื้นฟูดินแดนวาลเทลลินา โดยการพยายามกำจัดกองทหารสเปนที่ตั้งมั่นอยู่ที่นั่น
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1657), ระหว่าง อังกฤษ และ ฝรั่งเศส เพื่อการเป็นพันธมิตรในการต่อต้านสเปน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1763), ระหว่าง ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ฝรั่งเศส และ สเปนกับโปรตุเกส เพื่อยุติสงครามเจ็ดปี
สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1783) ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศส, สเปน, สาธารณรัฐดัตช์ และ สหรัฐอเมริกา
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783), ระหว่างสหรัฐอเมริกาและราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ เพื่อยุติสงครามปฏิวัติอเมริกัน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1784) เพื่อยุติสงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่ 4
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1796), เพื่อยุติสงครามระหว่างฝรั่งเศสและราชอาณาจักรพีดมอนท์-ซาร์ดิเนีย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1810), ระหว่างฝรั่งเศสและสวีเดน เพื่อการยุติสงครามฟินแลนด์
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1814) หรือ สนธิสัญญาฟงแตงโบล (ค.ศ. 1814), ระหว่าง: จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และ ฝ่ายมหาสัมพันธมิตร เพื่อยุติอำนาจการปกครองของนโปเลียนและส่งพระองค์ไปประทับที่เกาะเอลบา
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1814), ลงนามเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1814ระหว่าง: ฝรั่งเศสและพันธมิตรในสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่ 6 เพื่อการยุติสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่ 6
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1815), ลงนามหลังจากการพ่ายแพ้ของนโปเลียนที่วอเตอร์ลู
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1856), รัสเซียและพันธมิตรของจักรวรรดิออตโตมัน, ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย, ฝรั่งเศส และ สหราชอาณาจักร เพื่อยุติสงครามไครเมีย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1857), เพื่อยุติสงครามอังกฤษ-เปอร์เซีย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1898), เพื่อยุติสงครามสเปน-อเมริกา
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1900), ระหว่าง จักรวรรดิฝรั่งเศส และ จักรวรรดิฝรั่งเศส เพื่อยุติข้อพิพาทในสิทธิริโอ มูนิ (อิเควทอเรียลกินี)
การประชุมสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1919), เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1920), ฝ่ายมหาอำนาจ (ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, อิตาลี และ ญี่ปุ่น) และโรมาเนีย เพื่อรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย
สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1947) เพื่อการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการ
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1951), เพื่อก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรปที่เป็นพื้นฐานของการก่อตั้งสหภาพยุโรปต่อมา
ข้อตกลงสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1973), เพื่อยุติความเกี่ยวข้องของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม
สนธิสัญญาปารีส อาจหมายถึง ความตกลงหลายฉบับที่เจรจาและลงนามกันในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้นว่า
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1229), ระหว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสและเรมงด์ที่ 7 เคานท์แห่งตูลูส เพื่อยุติสงครามครูเสดอัลบิเจ็นเซียน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1259), ระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 10 แห่งฝรั่งเศส และ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษ, เฮนรีสละสิทธิในนอร์ม็องดี
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1303), ระหว่างพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1323), หลุยส์ที่ 1 เคานท์แห่งฟลานเดอร์สสละการอ้างสิทธิในเซแลนด์
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1355), การแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสกับซาวอย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1623), ระหว่าง ฝรั่งเศส, ซาวอย และ เวนิส เพื่อทำการฟื้นฟูดินแดนวาลเทลลินา โดยการพยายามกำจัดกองทหารสเปนที่ตั้งมั่นอยู่ที่นั่น
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1657), ระหว่าง อังกฤษ และ ฝรั่งเศส เพื่อการเป็นพันธมิตรในการต่อต้านสเปน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1763), ระหว่าง ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ฝรั่งเศส และ สเปนกับโปรตุเกส เพื่อยุติสงครามเจ็ดปี
สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1783) ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศส, สเปน, สาธารณรัฐดัตช์ และ สหรัฐอเมริกา
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783), ระหว่างสหรัฐอเมริกาและราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ เพื่อยุติสงครามปฏิวัติอเมริกัน
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1784) เพื่อยุติสงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่ 4
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1796), เพื่อยุติสงครามระหว่างฝรั่งเศสและราชอาณาจักรพีดมอนท์-ซาร์ดิเนีย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1810), ระหว่างฝรั่งเศสและสวีเดน เพื่อการยุติสงครามฟินแลนด์
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1814) หรือ สนธิสัญญาฟงแตงโบล (ค.ศ. 1814), ระหว่าง: จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และ ฝ่ายมหาสัมพันธมิตร เพื่อยุติอำนาจการปกครองของนโปเลียนและส่งพระองค์ไปประทับที่เกาะเอลบา
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1814), ลงนามเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1814ระหว่าง: ฝรั่งเศสและพันธมิตรในสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่ 6 เพื่อการยุติสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่ 6
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1815), ลงนามหลังจากการพ่ายแพ้ของนโปเลียนที่วอเตอร์ลู
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1856), รัสเซียและพันธมิตรของจักรวรรดิออตโตมัน, ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย, ฝรั่งเศส และ สหราชอาณาจักร เพื่อยุติสงครามไครเมีย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1857), เพื่อยุติสงครามอังกฤษ-เปอร์เซีย
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1898), เพื่อยุติสงครามสเปน-อเมริกา
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1900), ระหว่าง จักรวรรดิฝรั่งเศส และ จักรวรรดิฝรั่งเศส เพื่อยุติข้อพิพาทในสิทธิริโอ มูนิ (อิเควทอเรียลกินี)
การประชุมสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1919), เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1920), ฝ่ายมหาอำนาจ (ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, อิตาลี และ ญี่ปุ่น) และโรมาเนีย เพื่อรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย
สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1947) เพื่อการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการ
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1951), เพื่อก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรปที่เป็นพื้นฐานของการก่อตั้งสหภาพยุโรปต่อมา
ข้อตกลงสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1973), เพื่อยุติความเกี่ยวข้องของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561
COP24
COP24
COP24 ที่โปแลนด์เริ่มแล้ว นานาชาติประชุมใหญ่ลดโลก. ร้อน จับตากฎกติกาใหม่สนับสนุนข้อตกลงปารีส
COP24-โอกาสเพื่อแปรข้อตกลงปารีส ให้เป็นรูปธรรม5 ธันวาคม
3ปีผ่านไปหลังจากที่โลกได้บรรลุข้อตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ทั้งสหประชาชาติและประชาคมโลกต่างต้องประสบอุปสรรคมากมายเพื่อแปรคำมั่นต่างๆในเอกสารแห่งประวัติศาสตร์นี้ให้เป็นรูปธรรม ดังนั้นการประชุมว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติหรือCOP24ที่กำลังมีขึ้น ณ ประเทศโปแลนด์ถูกคาดหวังว่านี่เป็นโอกาสที่ยากจะหาได้เพื่อให้สหประชาชาติและประเทศต่างๆร่วมเสร็จสิ้นการร่างระเบียบการที่เป็นมาตรฐานแนะนำการปฏิบัติข้อตกลงปารีสอย่างสมบูรณ์ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยง่าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สหประชาชาติเตือนว่า ประเทศต่างๆกำลังเดินผิดทิศทางในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติเชิดชูบทบาทของผู้นำประเทศต่างๆในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ฟอรั่มฮานอยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปี 2018
COP24-โอกาสเพื่อแปรข้อตกลงปารีสให้เป็นรูปธรรม 1ปัญหาโลกร้อนได้ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่นับวันรุนแรงมากขึ้น
เกือบ200ประเทศที่เป็นภาคีในข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศปี2015มีเวลา2สัปดาห์(ตั้งแต่วันที่2-14ธันวาคม) ณ ประเทศโปแลนด์เพื่อร่วมหารือเสร็จสิ้นการร่างระเบียบการที่เป็นมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติเพื่อควบคุมการเพิ่มอุณหภูมิของโลกให้ต่ำกว่า2องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมและธำรงความพยายามจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิ1.5องศาเซลเซียส แต่สถานการณ์ของสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่ามาตรการรับมือของมนุษย์
COP24 โอกาสที่หายาก
การประชุมสุดยอด COP24 เป็นหนึ่งในสองการประชุมสำคัญนัดสุดท้ายก่อนที่จะถึงปี2020ที่ข้อตกลงปารีสจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่จนถึงขณะนี้ประเทศต่างๆก็ยังไม่มีท่าทีที่เป็นรูปธรรมอะไรมากนักเพื่อป้องกันผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากสภาวการณ์ที่สภาพภูมิอากาศที่แปรปวนในทั่วโลกนับวันรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ป่าที่รุนแรงในหลายพื้นที่ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สภาพอากาศร้อนจัดด้วยอุณหภูมิสูงกว่า40องศา.พร้อมภัยแล้งในระยะยาวในหลายประเทศได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของมนุษย์และการผลิตเกษตร เหตุแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิและพายุที่นับวันมีความรุนแรงมากขึ้นตลอดจนปัญหาระดับน้ำทะเลหนุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งนี้สาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาดังกล่าวคืออุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ โดยตามการพยากรณ์ขององค์การอุตุนิยมและสิ่งแวดล้อมโลกนั้น อุณหภูมิของโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจจะเพิ่มตั้งแต่3-5องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ซึ่งสูงเกินเป้าหมายที่ต้องการจำกัดให้อยู่ในกรอบ1.5-2องศาที่ระบุในข้อตกลงปารีส และจนถึงปี2030 ปริมาณการปล่อยก๊าซที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นก็อาจจะสูงกว่า1หมื่น3พันตัน-1หมื่น5พันตันเมื่อเทียบกับอัตราที่ต้องจำกัด หมายความว่า โลกจะต้องพยายามมากกว่า3เท่าหรือ5เท่านับตั้งแต่นี้จนถึงปี2030เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายในข้อตกลงปารีส
COP24 ที่โปแลนด์เริ่มแล้ว นานาชาติประชุมใหญ่ลดโลก. ร้อน จับตากฎกติกาใหม่สนับสนุนข้อตกลงปารีส
COP24-โอกาสเพื่อแปรข้อตกลงปารีส ให้เป็นรูปธรรม5 ธันวาคม
3ปีผ่านไปหลังจากที่โลกได้บรรลุข้อตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ทั้งสหประชาชาติและประชาคมโลกต่างต้องประสบอุปสรรคมากมายเพื่อแปรคำมั่นต่างๆในเอกสารแห่งประวัติศาสตร์นี้ให้เป็นรูปธรรม ดังนั้นการประชุมว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติหรือCOP24ที่กำลังมีขึ้น ณ ประเทศโปแลนด์ถูกคาดหวังว่านี่เป็นโอกาสที่ยากจะหาได้เพื่อให้สหประชาชาติและประเทศต่างๆร่วมเสร็จสิ้นการร่างระเบียบการที่เป็นมาตรฐานแนะนำการปฏิบัติข้อตกลงปารีสอย่างสมบูรณ์ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยง่าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สหประชาชาติเตือนว่า ประเทศต่างๆกำลังเดินผิดทิศทางในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติเชิดชูบทบาทของผู้นำประเทศต่างๆในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ฟอรั่มฮานอยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปี 2018
COP24-โอกาสเพื่อแปรข้อตกลงปารีสให้เป็นรูปธรรม 1ปัญหาโลกร้อนได้ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่นับวันรุนแรงมากขึ้น
เกือบ200ประเทศที่เป็นภาคีในข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศปี2015มีเวลา2สัปดาห์(ตั้งแต่วันที่2-14ธันวาคม) ณ ประเทศโปแลนด์เพื่อร่วมหารือเสร็จสิ้นการร่างระเบียบการที่เป็นมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติเพื่อควบคุมการเพิ่มอุณหภูมิของโลกให้ต่ำกว่า2องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมและธำรงความพยายามจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิ1.5องศาเซลเซียส แต่สถานการณ์ของสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่ามาตรการรับมือของมนุษย์
COP24 โอกาสที่หายาก
การประชุมสุดยอด COP24 เป็นหนึ่งในสองการประชุมสำคัญนัดสุดท้ายก่อนที่จะถึงปี2020ที่ข้อตกลงปารีสจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่จนถึงขณะนี้ประเทศต่างๆก็ยังไม่มีท่าทีที่เป็นรูปธรรมอะไรมากนักเพื่อป้องกันผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งเห็นได้จากสภาวการณ์ที่สภาพภูมิอากาศที่แปรปวนในทั่วโลกนับวันรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ป่าที่รุนแรงในหลายพื้นที่ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สภาพอากาศร้อนจัดด้วยอุณหภูมิสูงกว่า40องศา.พร้อมภัยแล้งในระยะยาวในหลายประเทศได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของมนุษย์และการผลิตเกษตร เหตุแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิและพายุที่นับวันมีความรุนแรงมากขึ้นตลอดจนปัญหาระดับน้ำทะเลหนุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งนี้สาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาดังกล่าวคืออุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ โดยตามการพยากรณ์ขององค์การอุตุนิยมและสิ่งแวดล้อมโลกนั้น อุณหภูมิของโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจจะเพิ่มตั้งแต่3-5องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ซึ่งสูงเกินเป้าหมายที่ต้องการจำกัดให้อยู่ในกรอบ1.5-2องศาที่ระบุในข้อตกลงปารีส และจนถึงปี2030 ปริมาณการปล่อยก๊าซที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นก็อาจจะสูงกว่า1หมื่น3พันตัน-1หมื่น5พันตันเมื่อเทียบกับอัตราที่ต้องจำกัด หมายความว่า โลกจะต้องพยายามมากกว่า3เท่าหรือ5เท่านับตั้งแต่นี้จนถึงปี2030เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายในข้อตกลงปารีส
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)